วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปุจฉา: ขอพระคุณเจ้ากรุณาชี้แนะการเจริญสติสำหรับ นักลงทุนที่ลงทุนแล้วขาดทุน แล้วก็ที่มีความทุกข์ จะคิดอย่างไรถึงจะเปลี่ยนความทุกข์นั้นให้เป็นความสุขได

ปุจฉา: ขอพระคุณเจ้ากรุณาชี้แนะการเจริญสติสำหรับ นักลงทุนที่ลงทุนแล้วขาดทุน แล้วก็ที่มีความทุกข์ จะคิดอย่างไรถึงจะเปลี่ยนความทุกข์นั้นให้เป็นความสุขได


 นักลงทุนที่ลงทุนแล้วขาดทุน
วิสัชนา: อาตมาก็พอจะตอบได้นะว่า นักลงทุนที่ลงทุนแล้วขาดทุน เพราะมีความรู้ด้านเดียว คือมีความรู้เรื่องการลงทุน เขาควรจะหาความรู้อีกด้านหนึ่งมาประกอบการลงทุน  คือ ความรู้ทางธรรมะ มนุษย์เรามักมีปัญหา คือมีความรู้เฉพาะทางมากไป เหมือนไมเคิล แจ๊คสัน ที่มีความรู้ทางดนตรีระดับปริญญาเอก มีชื่อเสียงเป็นอัจฉริยะทางดนตรี แต่ความรู้ด้านบริหารจัดการชีวิตแค่ปริญญาตรี  วันหนึ่งเขาเปิดห้องอัดเองเขาก็ขาดทุนเป็นพันล้าน เพราะเขามีความรู้ เพียงด้านเดียว ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องเป็นคนที่พระพุทธองค์ ทรงใช้คำาว่า “ต้องมีตา 2 ข้าง” หนึ่ง คือ ตาข้างนอก สอง

คือ ตาข้างใน ตาข้างนอกนี้ก็คือสำาหรับทำามาหากิน สำาหรับนักลงทุน แต่ตาข้างในคือ ตาธรรมะ คำาแนะนำาคือ นักลงทุนต้องเรียนธรรมะควบคู่กันไปด้วย คุณจะต้องรู้ว่าโลกนี้จะไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป นี่เป็นสัจธรรมพื้นฐานที่เราต้องเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ พอเรามาลงทุน การลงทุนก็มีกำาไร และมีขาดทุน วันหนึ่งถ้าเรามีกำาไร เราก็รู้จากคำาพระที่ว่า กำาไรมันจะมา  วันหนึ่งถ้าขาดทุน เราก็รู้ว่านี่ไงที่พระท่านพูด ฉันกำาลังมีประสบการณ์ตรง พอเรามีความเข้าใจพื้นฐานร่วมกัน อย่างนี้แล้ว พอเราขาดทุนเราก็ไม่ตีโพยตีพาย เพราะชีวิตก็เป็นอย่างนี้ มีได้มีเสีย มีขึ้นมีลง มีสูงมีตำา ภาษาพระเรียกหลักธรรมชุดนี้ว่า “โลกธรรม” แปลว่าธรรมประจำาโลก  ถ้าเราเข้าใจโลกธรรม คือธรรมประจำาโลกแบบนี้นะ ว่าโลกนี้ มีสูงมีตำา มีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ เป็นธรรมดาประจำาโลก โลกธรรมนี้จะทำาอะไรเราไม่ได้เลย ถ้ามันเกิดขึ้น เราก็รู้ว่า พระท่านบอกไว้แล้ว แต่ถ้าเราไม่เข้าใจโลกธรรมชุดนี้ พอเกิด เหตุการณ์ที่ลงทุนแล้วขาดทุนเป็นทุกข์ เราจะถูก “โลกกระทำา”  ถ้าโลกกระทำาไปแล้ว ยังไม่ยอมทำาความเข้าใจอีก ยังทุกข์ซ� ทุกข์ซากอีก ก็จะถูกโลกกระทืบ เพราะฉะนั้นขอแนะนำาให้ หาความรู้ทั้งทางการลงทุนและทางธรรมะคู่กันจะได้เอาไว้ปลอบใจตัวเอง

ปุจฉา: ในสังคมไทยเราอาจถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า เรื่องเงิน นั้นสำคัญที่สุด

ปุจฉา: ในสังคมไทยเราอาจถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า เรื่องเงิน นั้นสำคัญที่สุด แม้แต่การให้พรหรือการขอพร หลายคนบอกว่า ขอให้รวย ขอให้รวย ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้ามีคำแนะนำในเรื่องการให้พร “ขอให้รวย” อย่างไร


วิสัชนา: อาตมามีประสบการณ์ตรง คุณโยมเอาปัจจัยมาถวาย อาตมาก็ให้พรว่า ขอให้ใช้ชีวิตท่ามกลางนักปราชญ์ราชบัณฑิต คุณโยมก็นิ่ง อาตมาก็บอกใหม่ว่า ขอให้มี ดวงตาเห็นธรรม คุณโยมก็ยังนิ่งอีก ทีนี้ อาตมาบอกใหม่ว่าขอให้มีสุขภาพดี คุณโยมก็เริ่มหน้าชื่น แต่พอบอกว่า  “ขอให้รวย” เท่านั้นแหละ คุณโยมรีบสาธุเลย อาตมาก็ลองด้วยนะ ครั้งหนึ่งมีโยมไปถวายกฐินที่วัด โยมเอาอัญชลีวันทาอภิวาทกราบหนึ่งพันล้าน สาธุ กราบสองพันล้าน กราบสามพันล้าน ติดอกติดใจกราบกันนะ อยากจะกราบอีก คือลองดูว่าปฏิกิริยาจะเป็นอย่างไร อันนี้ชัดเจนที่สุด คนจะเลือกไปหาพระหรือหลวงพ่อที่เชื่อกันว่าเป็นขุนขลังขมังเวทย์ที่จะ ทำาให้รวย นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนชัดเจนว่า ลึกๆ แล้วมนุษย์ถวิลหาเงินมาโดยตลอด ดังนั้น เวลาเราให้พรจึงแสดงออกมา  อาตมาไปเวียดนาม เทพที่คนเวียดนามส่วนใหญ่บูชาจะเป็นเทพแห่งปัญญา แต่เมืองไทยเทพทุกองค์ที่บูชา มักเป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง เช่น จาตุคามรามเทพก็เป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง พระพิฆเณศ เราก็ขอความมั่งคั่ง พระพรหมเราก็ขอความมั่งคั่ง พระเกจิอาจารย์ที่เราไปหาท่านก็เป็นที่ขึ้นชื่อถึงความมั่งคั่งทั้งนั้น แนวคิดที่ว่ารำารวยมั่งคั่งคือจุดหมายสูงสุด ของชีวิต ก็กินพื้นที่ลึกเข้าไปแม้กระทั่งพื้นที่ในจิตวิญญาณด้วย  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า พื้นฐานของมนุษย์ต้องการความ มั่นคงในชีวิต และเงินเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีเงิน เราจะมีความมั่นคงในชีวิต ไม่ผิดนะ ถ้าคนอยากจะมีเงิน  แต่มันจะผิดถ้าคุณมีเงินแล้วคุณคิดว่า นั่นคือเป้าหมายสูงสุด ของชีวิต เราต้องปรับนิดหนึ่งว่า มีเงินได้ แต่โปรดอย่า เข้าใจผิดว่า เงินคือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เงินนั้นสถานภาพ ที่แท้จริงคือปัจจัย คือเครื่องอำานวยความสะดวกในการดำารง ชีวิต พูดอีกอย่างหนึ่งว่าเรามีเงินเพื่อต่อจากเงินไปหาคุณภาพ ชีวิต ถ้ามีเงินแล้วต้องถามตัวเองว่า แล้วคุณมีคุณภาพชีวิตมั้ย

ถ้ามีเงินแล้วบอกว่าชีวิตฉันถึงจุดสูงสุดแล้ว ประสบความ สำาเร็จแล้ว อันนี้ถือว่าเป็นทัศนคติที่ถือว่าผิดพลาดอย่างยิ่ง  เพราะศักยภาพของมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อหาเงินแต่ เพียงอย่างเดียว อาตมาภาพได้อ่านชีวประวัติของเลโอนาร์โด  ดา วินชี มนุษย์แห่งยุคเรอเนสซองค์ เป็นจิตรกรเอกของโลก  เป็นนักคิด นักปรัชญา นักชลประทาน นักยุทธศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักปราชญ์ มนุษย์นั้นโดยศักยภาพพื้นฐาน มีศักยภาพมากมายหลายด้าน แต่ด้วยระบบการศึกษาของ เราพยายามลดทอนศักยภาพของมนุษย์ให้เป็นนักใดนักหนึ่ง  เช่น นักการเงิน นักลงทุน นักการตลาด นักการเมือง  นักแสดง นักพูด นักเขียน เราลืมไปว่า แท้ที่จริงมนุษย์หนึ่งคน สามารถเป็นได้ทุกนักนั่นแหล่ะ แล้วการที่เราคิดว่า เงินคือ เป้าหมายสูงสุดของการมีชีวิตก็เป็นอีกวิธีคิดหนึ่งที่สะท้อน ว่าเราคิดแบบแยกส่วนและตัดตอน นี่แหล่ะสะท้อนวิธีคิดของ มนุษย์ในเวลานี้ว่ามีปัญหาสุดโต่ง มันแยกส่วน ไม่ได้มอง อะไรแบบองค์รวม ก็เลยคิดว่าพอมีเงิน เงินก็สูงสุด แต่พอ ไม่มีความรู้เรื่องการบริหารจัดการเงิน คือไม่รู้จักต่อเงินให้ เป็นบุญ ไม่รู้จักต่อทุนให้เป็นธรรม เงินก็เป็นต้นทางของ วิกฤติ ตั้งแต่ที่อเมริกา ยุโรป อาเจนตินา แม้กระทั่ง ไทยเรา ฉะนั้นวิธีที่เราจะอยู่ร่วมกับเงินได้คือ ต้องเข้าใจว่า  เงินคือปัจจัยใช้นำาไปสู่คุณภาพชีวิต ถ้าเราคิดว่าเงินสูงสุด  เรากำาลังปฏิบัติผิดต่อเงิน พระพุทธองค์เรียกอีกชื่อว่า อสรพิษ  ย�ชัดๆ ว่า เงินมีสองสถานภาพ หนึ่ง เงินคือปัจจัย มีเงินแล้ว ให้รู้จักเปลี่ยนเงินเป็นคุณภาพชีวิตของตนเอง ของสังคม  ของมนุษยชาติ สอง เงินจะกลายเป็นอสรพิษ ถ้าคุณไม่รู้จัก เปลี่ยนเงินเป็นคุณภาพชีวิต คิดว่าเงินเป็นสิ่งสูงสุด จนกระทั่ง ถือเอาเงินเป็นศาสดา เงินก็เป็นงูเห่าแว้งมากัดเจ้าของเงินทันที  ดังนั้น ขอให้เราช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติ ทั้งนักลงทุน ทั้งเศรษฐี  ทั้งประชาชนทั่วไปว่า เราต้องหันมาทำาความเข้าใจเรื่องเงิน ใหม่ว่า เงินคือปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของชีวิต เมื่อไหร่ ก็ตามเมื่อเงินถูกใช้เป็นปัจจัยโดยการเปลี่ยนเงินเป็นบุญ  เปลี่ยนทุนเป็นธรรมได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเมืองไทยจะมีความ รำารวยทางเศรษฐกิจ มีความมั่งคั่งมั่นคง และมีสันติสุขใน สังคมร่วมกัน แค่เราเปลี่ยนท่าทีหรือวิธีปฏิสัมพันธ์ต่อเงิน เท่านั้น ก็เป็นประตูเปิดไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจก็ได้ มั่นคงทางสังคมก็ได้ อบอุ่นในทางจิตใจก็ได้ เงินนั้นจึงเป็นทั้งต้นทางไปสู่ความสุข อาตมาเองก็แสวงหาทางสายกลางในการให้พรว่า “ขอให้คุณโยมมีชีวิตที่มีความร่มเย็นเป็นสุข ให้มีเงินมีทองรำารวยมั่งคั่งเป็นหมื่นล้านแสนล้าน แต่รวยแล้ว ก็แบ่งปันด้วยเทอญ...”

ปุจฉา : ตลาดหลักทรัพย์เองก็ใช้หัวใจเศรษฐี โดย “เปลี่ยนเงิน ให้เป็นบุญ


ปุจฉา : ตลาดหลักทรัพย์เองก็ใช้หัวใจเศรษฐี โดย “เปลี่ยนเงิน ให้เป็นบุญ 

และเปลี่ยนทุนให้เป็นธรรม” ด้วยการแบ่งปันเชิง ปัญญาด้านการศึกษา ทำหนังสือให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้รู้จักหา รู้จักเก็บ รู้จักใช้ รู้จักลงทุนขยายผล สร้างภูมิคุ้มกันด้านการบริหารจัดการเงินให้แก่สังคมไทย โดยตลาดหุ้นอยู่ใกล้กับธรรมะ สามารถให้คนทั่วไปเป็นเศรษฐีได้ด้วยธรรมะและด้วย ทุนทางปัญญา พร้อมกันนี้ ขอถามแทนคนทำงานว่า  ที่การแข่งขัน เกิดขึ้นในทุกระดับ ทั้งระดับประเทศ ระหว่างธุรกิจ องค์กรธุรกิจ  และคนในองค์กรด้วยกันเอง ในทางหนึ่งการแข่งขันก็เป็นพลังที่ ทำให้คนเราอยากทำให้ตัวเองเจริญก้าวหน้าและเติบโต ซึ่งส่ง ผลดีกับองค์กรธุรกิจ แต่การแข่งขันก็เป็นทุกข์ในบางครั้ง ถ้าชนะ ก็มีความสุข ถ้าไม่ชนะก็มีความทุกข์ ทำอย่างไรให้การทำงาน มีการแข่งขัน มีพลัง ในขณะเดียวกันก็มีความสุขด้วย ไม่เบียดเบียน
ตลาดหลักทรัพย์เองก็ใช้หัวใจเศรษฐี โดย “เปลี่ยนเงิน ให้เป็นบุญ
วิสัชนา: เรื่องการแข่งขันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่บางครั้งคนที่สนใจธรรมะไม่อยากเข้ามายุ่งด้วย เพราะมองว่าเป็น กิจกรรมทางโลก เป็นกิจกรรมของคนที่มีกิเลส แต่แท้จริงแล้ว  การแข่งขันมีสองรูปแบบ หนึ่ง การแข่งขันที่เป็นธรรม สอง คือ การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม การแข่งขันที่เป็นธรรมนั้นเป็นทาง สายกลางที่ธรรมะยอมรับได้ แต่การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม  คือมีการเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่มีคุณธรรม การแข่งขันแบบ ก็อดฟาเธอร์ เสนอเงื่อนไขแบบปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ในทางธรรมะก็ยอมรับไม่ได้

การแข่งขันในทางพุทธศาสนายอมรับ คือการแข่งขัน ที่เป็นธรรม ผู้แข่งขันต่างต้องตระหนักรู้ในกติการ่วมกัน ไม่กีดกั้น ตั้งแต่ต้น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เป็นการแข่งขันที่เป็นไปได้  หลักง่ายๆ ที่สำาคัญถ้าจะแข่งขันให้เป็นสุข คือ การแข่งขันที่ไม่เบียดเบียนตน และไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนตน หมายความว่า ไม่ได้มุ่งจะแข่งขันให้มีเงินมีทองมากมายมหาศาล แต่เมื่อกลับเข้าบ้าน คุณไม่มีเวลากินข้าวกับลูก และภรรยาเลย หรือทะเลาะกันเป็นปีๆ แต่คุณทำาดีได้กับลูกน้องทุกคน อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ขอให้ถือหลักทางสายกลาง ของการแข่งขันว่า การทำางานหรือการแข่งขันประสานกับ คุณภาพของชีวิต นั่นก็คือผลสัมฤทธิ์ของการแข่งขันบนทางสายกลาง คุณภาพชีวิตก็ยังดีอยู่ และเราก็ประสบความสำาเร็จ ด้วยพุทธศาสนาก็ยอมรับได้ แต่ถ้าเราแข่งขันแล้วตัวเอง ก็ป่วย และเราก็หาวิธีทำาร้ายคู่แข่งทั้งด้านเปิดเผยและด้านมืด  ถ้าเป็นอย่างนี้พุทธศาสนาก็ยอมรับไม่ได้ สอง ในการแข่งขันนั้น  จะดูว่าเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม พุทธศาสนายอมรับได้หรือ ไม่ได้ ให้ไปดูที่แรงจูงใจในการแข่งขัน ถ้าแรงจูงใจนั้นมาจาก ความโลภล้วนๆ ไม่มีสติเลย ไม่คำานึงถึงสังคมเลย มุ่งกำาไร สูงสุดอย่างเดียว ไม่สนใจว่าขณะที่ฉัน กำาไรประเทศชาติต้อง ขาดทุนเท่าไหร่ เป็นทุนนิยมที่ไม่มีหัวใจล้วนๆ โดยโลภะ คือ  ใช้ความโลภนำาทาง นี่เป็นการแข่งขันที่พุทธศาสนาไม่เห็นด้วย  เพราะเป็นการแข่งกันไปเพื่อหายนะ แต่ถ้าเป็นการแข่งขัน บนแรงจูงใจอีกอย่างคือ ปัญญา ปัญญารู้คิด รู้พิจารณาใน การแข่งขัน ทำาอย่างปัญญาชน คนมีอารยธรรมเขาทำากัน เมื่อเราแข่งขันได้เงิน ได้ทอง ได้กำาไรมา เราก็ไม่ทิ้งสังคมเรายังเผื่อแผ่แบ่งปันเจือจานสังคมด้วย นี่ก็เป็นการแข่งขันบนรากฐานของปัญญา ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนสังคม ขณะเดียวกันแรงจูงใจก็เกิดจากปัญญา ไม่ใช่เพราะหน้ามืดตามัว จองล้างจองผลาญให้จบให้สิ้นไป ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็แข่งขันได้ 

กล่าวอย่างสั้นที่สุด การแข่งขันที่มีแต่สุข ประการแรก คือ ต้องอยู่บนทางสายกลาง คือ คุณภาพชีวิตและคุณภาพ ของการแข่งขันนั้นบรรจบกันได้ ประการที่สอง แรงจูงใจของการแข่งขันนั้นมีปัญญากำากับด้วยเสมอไป ก็เป็นการแข่งขันที่เป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริง

ปุจฉา :การเป็นนักลงทุนนั้นถือได้ว่าเป็นวาณิช และวาณิชนั้นสามารถเป็นเศรษฐีได้

ปุจฉา: การเป็นนักลงทุนนั้นถือได้ว่าเป็นวาณิช และวาณิชนั้นสามารถเป็นเศรษฐีได้ ขอพระอาจารย์ขยายความในส่วนของ  สมชีวิต หรือใช้ชีวิตพอเพียงแก่นักลงทุน และให้แนวทางสู่การเป็นเศรษฐีที่มีความสุข


การเป็นนักลงทุนนั้นถือได้ว่าเป็นวาณิช และวาณิชนั้นสามารถเป็นเศรษฐีได้ วิสัชนา: ถ้าเราอยากจะรู้ว่า เศรษฐกิจพอเพียงไปกันได้กับ การลงทุนในหุ้นไหม เราก็ต้องมาดูก่อนว่า อะไรคือปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง พระองค์ท่านบอกว่า ให้มีเหตุผล  ให้รู้จักพอประมาณ และทำาอะไรต้องไม่ประมาท ใช้ทาง สายกลาง หยัดยืนบนขาของตนเอง สำาคัญที่สุด ต้องมีเงื่อนไข คุณธรรมด้วย ถ้าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างนี้  คือ ยึดหลักความจริง ไม่วูบวาบไปกับฟองสบู่ ท่านทรงรับสั่ง เสมอว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชีวิต ถ้าเป็น อย่างนี้ การลงทุนในหุ้นก็เป็นสิ่งที่ไปกันได้ แต่สิ่งที่เรา เข้าใจผิดก็คือ เวลาที่พูดถึงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  เรามักจะคิดว่าพระองค์ท่านสอนให้เรายากจน นี่คือความ เข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง คงไม่มีผู้นำาประเทศไหน อยากให้ ประชาชนพลเมืองของตัวเองยากจนกันทั้งประเทศ เพราะนั่น หมายถึงประเทศที่ไม่มีอนาคต แท้ที่จริง ถ้าเราพอเพียง เราก็ จะยิ่งมั่งคั่ง เพราะยิ่งพอก็ยิ่งพัฒนา หรือยิ่งพอก็ยิ่งพัฒน์  หมายความว่า ถ้าเราพอส่วนตน ที่เหลือเราก็เจือจานสังคม  ยิ่งพอเพียงกลายเป็นประเทศยิ่งได้รับสวัสดิผล เพราะ ทรัพยากรจะถูกกระจายจากคนที่พอแล้วไปยังคนที่ยังไม่มี  หรือมีแต่ยังไม่พออยู่พอกิน ดังนั้น เศรษฐกิจพอเพียงหลักๆ  จะทำาให้เรามั่งคั่งอย่างยั่งยืน และการกระจายทรัพยากรนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปอย่างยุติธรรมและทั่วถึง นี่ต่างหาก คือสิ่งที่ ถูกต้อง แม้แต่หลักพุทธศาสนา พระพุทธองค์ยังทรงตรัสไว้ว่า  “ความงามของกษัตริย์คือการมีรัฐที่มั่งคั่ง” ฉะนั้นพระองค์ ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ย่อมทรง เข้าใจปรัชญาการเมืองการปกครองเป็นอย่างดี ปัญหาก็แต่ เราทั้งหลายที่มีพ่อที่ลึกซึ้ง แต่เราช่างเป็นลูกที่ตื้นเขิน ถ้าเรา จับเอาหัวใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ การลงทุนใน ตลาดทุนก็เป็นเรื่องที่ไปกันได้ เพราะเราต้องใช้คุณธรรม ซึ่งเป็น เงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างครบถ้วนเลยทีเดียว

สำาหรับ “สมชีวิตา” คือ การรู้จักใช้ชีวิต หมายความว่า คุณประมาณตัวเองออก บอกตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น  ว่าสถานภาพทางการเงินของคุณมีแค่ไหน ถ้าคุณประมาณ ตัวเองออกว่าสถานภาพทางการเงินของคุณยังต้องหาเช้า กินคำาอยู่ แล้วคุณใช้เงินมือเติบ จ่ายเติบ หน้าใหญ่ใจโต  รายได้ตำาแต่รสนิยมสูง นี่ถือว่า ผิดหลักพอเพียง แต่ถ้าคุณ บอกว่าตนเป็นคนจน ยังหาเช้ากินคำา คุณก็ต้องรู้จักประมาณ การค่าใช้จ่ายของคุณให้พอเหมาะกับสถานภาพของคุณที่ พอเพียงแบบคนจน แต่ถ้าคุณเป็นคนรวย มีเงินเป็นหมื่นล้าน อยู่แล้ว คุณมานุ่งเสื้อม่อฮ่อม สวมหมวกแบบชาวนา มาใช้ ชีวิตนุ่งเจียมห่มเจียม ถ้าอย่างนั้นต้องถือว่าไม่รู้จักสถานภาพ ทางการเงินของตนเอง ไม่รู้จักครองชีวิตให้พอเหมาะพอสม กับศักยภาพและสถานภาพทางการเงินของตนเอง ฉะนั้น  เราควรประเมินก่อนว่า หนึ่ง ประเมินสถานภาพทางการเงิน ของเรา สอง เราจะใช้ชีวิตแค่ไหน ถ้าคุณยังจนก็ให้พอเพียง อย่างคนจน รู้จักประมาณตน แต่ถ้าคุณเป็นเศรษฐี  ฐานะการเงินมั่นคงแล้ว คุณก็ใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีได้  แล้วทางสายกลางอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงที่คุณเป็นเศรษฐีที่ ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนคนอื่น ตรงนี้ต่างหากที่ เป็นทางสายกลาง เรามักจะเข้าใจผิดว่า พุทธกับธุรกิจ พุทธกับ ความรวย เข้ากันไม่ได้ เป็นโลกทัศน์ที่ผิดกันอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าไปกันไม่ได้ อภิมหาเศรษฐีก็เกิดไม่ได้ ที่คุณโยม ถามคือ พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง “หัวใจเศรษฐี” เอาไว้นั้น คุณโยมลองพิจารณาดูว่าไปด้วยกันได้มั้ย

หัวใจเศรษฐีมี 4 ข้อที่คนโบราณท่องกัน พ่อค้าแม่ขายที่เป็นชาวบ้าน ร้านโชห่วย เป็นผู้ประกอบการรายย่อย เอส เอ็ม อี เวลาไปหาพระ พระจะเป่ากระหม่อม “พ่วง” “อุ-อา-กะ-สะ-รวย” ผลคือ พระรวย แต่โยมจน นี่เรียกว่า เราเอาหัวใจเศรษฐีมา แต่เราไม่ได้เอาแก่นมา คำาว่า  “อุ-อา-กะ-สะ” นั้น อุ มาจากคำาว่า อุฎฐานสัมปทา แปลว่า ขยัน อา มาจาก อารักขสัมปทา แปลว่าหมั่นรักษา กะ มาจาก กัลยาณมิตตตา คือให้คบคนดี สะ มาจาก สมชีวิตา คือ  มีชีวิตที่พอเพียง พระองค์ท่านก็หยิบเอา สมชีวิตา มาใช้ คือ  เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ฉะนั้น “อุ-อา-กะ-สะ” หรือ “หัวใจเศรษฐี” คือ ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ใครทำาได้คนนั้นก็รวย เห็นมั้ยพระพุทธองค์ไม่เชยเลยนะ ขยันหา ก็หมายความว่า ให้เราขยันทำามาหากิน ขี้เกียจอย่างไรก็ไม่รวย เงินทองนั้นเป็นของกลางวางอยู่ทุกแห่งหน ใครขยันคนนั้นก็ได้ถือครอง ฉะนั้นเราต้องขยันหา รักษาดี คือ เมื่อได้เงินมาแล้วต้องมีการบริหารจัดการเงินให้เป็น การบริหารจัดการเงินให้ทำาดังต่อไปนี้  หนึ่ง เก็บไว้เป็นเงินคงคลังเพื่อความมั่นคงของชีวิต คุณได้เงิน มาแล้วต้องแบ่งก้อนเงินเอาไว้ เป็นเงินสำารองคงคลังเพื่อความมั่นคงของชีวิต คนมีเงินจึงสุขภาพจิตดี เพราะรู้ว่าเขามั่นคง พระพุทธองค์ก็เข้าใจดีนะ สอง นำามาเลี้ยงชีพเลี้ยงชีวิต ให้ตัวเอง ญาติ พี่น้อง บริษัท บริวาร กินอิ่ม นอนอุ่น คือ คุณหามาได้ คุณก็ต้องใช้ให้เป็นด้วย ไม่ใช่เก็บอย่างเดียวเป็น ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ แต่ให้ตัวเองและญาติพี่น้องได้กินอิ่ม นอนอุ่น  ข้อสาม คือ เอาเงินไปต่อเงิน คือ ทำาธุรกิจด้วย แสดงว่าพระพุทธองค์เข้าใจเรื่องการลงทุนเป็นอย่างดี ประการที่สี่  พระองค์ท่านใช้คำาว่า “ราชพลี” แปลว่า เสียภาษีให้รัฐด้วย  ทันสมัยมั้ยคุณโยม พระพุทธองค์ให้เสียภาษีแก่รัฐด้วย ข้อห้า  ท่านบอกว่า บำารุงศาสนชีพราหมณ์และผู้ทรงศีล ซึ่งเป็นสดมภ์หลักทางจิตใจและปรัชญาของสังคม ให้ท่านได้กินอิ่ม นอนอุ่นจะได้มีเรี่ยวแรงในการแสดงพระธรรมคำาสอน ยึดกุม จิตใจประชาชนให้มีบรรทัดฐานทางจริยธรรมจะได้อยู่ ร่วมกันในสังคมที่สันติ ข้อสุดท้าย ท่านบอกว่า ให้ทำาบุญให้กับ ญาติวงศาที่ล่วงลับไปแล้ว ใช้เงินเพื่อความกตัญญู คุณโยมจะ เห็นว่าหลักการใช้เงินของพระพุทธองค์ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้น ที่ถามมา อาตมาจึงกล้ายืนยันได้เลยว่าเราสามารถใช้ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ในการลงทุนและการทำาธุรกิจ

ปุจฉา: ทำไมนักลงทุนจึงจำเป็นต้องใช้ธรรมะเป็นหลักนำ

ปุจฉา: ทำไมนักลงทุนจึงจำเป็นต้องใช้ธรรมะเป็นหลักนำ


ทำไมนักลงทุนจึงจำเป็นต้องใช้ธรรมะเป็นหลักนำวิสัชนา: ธรรมะจำาเป็นสำาหรับนักการเงินและนักลงทุน  เพราะผู้ที่อยู่ในภาคการเงิน การลงทุนอยู่กับเงินทั้งของตนเอง และของคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นวาณิช ธุรกิจที่เขาทำาจึงมีชื่อว่า “วาณิชธุรกิจ” คนไทยหยิบเอาคำาว่า “ธุรกิจ” มาใช้แทนคำาว่า  “วาณิช” แต่ในบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลายก็ยังคงใช้คำาว่า  “วาณิชธนกิจ” อยู่ วาณิช หมายถึง คนที่มีเงินมาก คนที่รำารวย  คนที่มั่งคั่ง คนที่ถือครองทรัพยากรเงินเป็นจำานวนมาก นี่คือ “วาณิช” แต่ถ้าวาณิชคนไหนรวยแล้วก็ให้ ได้แล้วก็แบ่งปัน  วาณิชคนนั้นจะขยับฐานะขึ้นมาเป็นเศรษฐี แต่ในเมืองไทย  นิยามคำาว่า “เศรษฐี” ว่าหมายถึง คนรวย แต่แท้จริง ในทางพุทธศาสนา ท่านแยกกัน คนรวยธรรมดาๆ ถือครอง ทรัพยากรการเงินมากกว่าชาวบ้าน ท่านเรียกว่า “ว�ณิช”  แต่วาณิชที่รวยแล้วก็ให้ ได้แล้วก็แบ่งปัน ท่านเรียกว่า “เศรษฐี”  เพราะ “เศรษฐี แปลว่า ผู้ประเสริฐ” คนที่เป็นวาณิชก็สามารถ เป็นเศรษฐีได้ คนที่เป็นเศรษฐีก็สามารถเป็นวาณิชได้ ถ้ารู้จัก จับหัวใจที่ว่า “รวยแล้วให้ ได้แล้วแบ่งปัน”

ในสมัยพุทธกาลมีมหาเศรษฐีซึ่งแต่เดิมเป็นวาณิช มีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้ มหาเศรษฐีท่านนี้ชื่อ “สุทัตตะวาณิช”  อาตมาเรียกท่านว่า บิลเกตส์แห่งยุคพุทธกาล เพราะใช้เงิน สร้างวัดประมาณพันล้านบาท วาณิชคนนี้ รำารวยจากการเป็น วาณิชด้วยตัวเอง แล้วก็ตั้งโรงทาน 4 มุมเมือง ให้ทานทุกวัน  แจกข้าวปลาอาหาร จนคนยกย่องเป็นสุดยอดของผู้ให้และ ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี อนาถะ คือ อนาถา  บิณฑ แปลว่า ก้อนข้าว มหาเศรษฐี คือ วาณิชที่รู้จักแบ่งปัน  อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี แปลว่า มหาเศรษฐีที่ให้ก้อนข้าว แก่คนอนาถา จนคนลืมชื่อเดิม และเรียกสามานยนามซึ่งเป็น

ชื่อที่ได้จากการทำาคุณงามความดี อย่างคุณบุญชู โรจนเสถียร  ได้ฉายาว่าเป็นซาร์เศรษฐกิจ (Czar) นี่คือตัวอย่างของคนที่เปลี่ยนตัวเองจากนักลงทุนธรรมดาเป็นมหาเศรษฐี เพราะรู้จัก เปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม ท่านอนาถบิณฑิก มหาเศรษฐีคนนี้ได้สละทรัพย์สินของตัวเองจำานวนมหาศาล สร้างวัดให้พระพุทธองค์ประทับ วัดนี้คือ วัดเชตวันมหาวิหาร  เป็นวัดที่มีการวาง Landscape ที่ดีมากๆ ทุกวันนี้นักศึกษา จำานวนมากที่เรียนด้านการออกแบบ ด้านสถาปัตย์โบราณ นิยม ไปศึกษาการวางแผนผังของวัดนี้ และเป็นวัดที่พระพุทธองค์ ประทับถึง 19 พรรษา มากกว่าทุกวัดในพุทธกาล เพราะ

คฤหาสน์ของเศรษฐีอยู่ตรงข้ามวัด พระพุทธองค์สนิทสนม คุ้นเคยกับมหาเศรษฐีผู้นี้มาก เพราะเข้าวัดบ่อยครั้งเกือบทุกวัน  และมีความสนิทสนมกับพระพุทธองค์เป็นอย่างดี ท่านเลื่อน ตัวเองมาเป็นมหาเศรษฐีเพราะรวยแล้วก็ให้ ได้แล้วแบ่งปัน  ทั้งแก่สาธารณชนและพระศาสนาเช่นนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งประจักษ์ พยานว่า ธรรมะกับเรื่องธุรกิจไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ขัดแย้งเลย

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ซื้อขายหุ้นผ่านอินเตอร์เน็ต



ทำไมต้องซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต
• สะดวกสบาย
คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง จากบ้าน จากที่ทำงาน จากอินเทอร์เน็ต คาเฟ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือที่อื่นๆที่คุณสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ตัดปัญหาการเดินทางฝ่ารถติดไปห้องค้า หรือต่อสายโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่การตลาด

• พร้อมพรั่งด้วยข้อมูลข่าวสาร
คุณสามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่มากมายและทันสมัยตลอดเวลา ทั้งข้อมูลราคาหลักทรัพย์เรียลไทม์ รายละเอียดบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บทวิเคราะห์จากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ข้อมูลทางสถิติ ข้อมูลปัจจุบันและย้อนหลังเพื่อช่วยในการตัดสินใจของคุณ


                        

• คุ้มค่าด้วยค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
ซื้อขายด้วยตัวเอง จูงใจด้วยค่าคอมมิชชั่นระดับต่ำ เพียงแค่ 0.15-0.20 % เท่านั้น

• เริ่มต้นซื้อขายด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย
มีเงินมากก็ฝากเงินมาก มีเงินน้อยก็ฝากน้อย ด้วยการเลือกเปิดบัญชีแบบ Pre-paid ฝากเท่าไหร่ ซื้อขายได้เท่านั้น

ท่านที่สนใจเปิดบัญชีซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ย่อยของเซ็ทเทรด เรื่อง การซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet Trading)

 
การซื้อขายแบบอินเตอร์เน็ต เหมาะกับใครบ้าง
ประเภทแรก นักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัวในการตัดสินใจลงทุน เพราะสามารถส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเอง พร้อมตรวจสอบสถานะคำสั่ง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยข่าว บทวิเคราะห์และเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่างๆ ทั้งนี้ควรเป็นคนที่เคยใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมาบ้าง หรือคนที่คิดว่าสามารถเรีบนรู้การใช้คอมพิวเตอร์ได้

ประเภทที่สอง คือ นักลงทุนหน้าใหม่ มีเงินทุนไม่มากนัก แต่ต้องการเริ่มต้นเรียนรู้การลงทุนในหุ้น คุณสามารถเลือกเปิดบัญชีแบบ Pre-paid คือฝากเงินเพื่อซื้อขายตามกำลังความสามารถในการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง
ประเภทที่สุดท้าย คือ นักลงทุนที่ต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถตัดสินใจลงทุนซื้อขายหุ้นได้ทันท่วงที

 
บัญชีประเภทไหนบ้างที่สามารถซื้อขายอินเตอร์เน็ต ได้
การซื้อขายแบบออนไลน์ไม่ได้หมายความว่าคุณจะส่งคำสั่งซื้อขายโดยตรงกับตลาดหลักทรัพย์ได้ ก่อนอื่นคุณจะต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์หรือซับโบรกเกอร์ให้ทำหน้าที่เป็นนายหน้าหรือตัวแทนของคุณในการส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์เสียก่อน โบรกเกอร์จะกำหนดนโยบายบริษัทว่าจะให้บริการบัญชีซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตประเภทใดบ้าง แต่โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภท
1. บัญชีเงินสด (Cash Account)  พูดง่ายๆ ก็คือบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไปที่คุณรู้จักนั่นเอง โบรกเกอร์จะให้วงเงินซื้อขายแก่คุณ โดยคุณจะซื้อขายหุ้นได้ไม่เกินวงเงินนั้น และต้องชำระเงินค่าซื้อขายและส่งมอบหลักทรัพย์ภายในวันทำการที่ 3 ถัดจากวันที่ซื้อขาย (T+3) ถ้าคุณซื้อคุณต้องทำการชำระราคาค่าซื้อเต็มมูลค่าหุ้นที่ซื้อในเวลาที่กำหนด ไม่สามารถชำระแค่บางส่วนได้ ในวันที่ 1 ก.ค. 47 เป็นต้นไป ได้มีการกำหนดให้ผู้ที่จะซื้อขายหลักทรัพย์ต้องมีหลักประกันเริ่มต้น 10 % เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า บริษัทสมาชิก และตลาดทุนโดยรวม

2. บัญชีแคชบาลานซ์ (Cash Balance หรือ Pre-paid หรือ Cash Deposit) เป็นบัญชีที่คุณต้องฝากเงินไว้กับโบรกเกอร์จำนวนหนึ่งก่อน สำหรับเป็นเงินชำระค่าหุ้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และถือว่าเงินจำนวนนั้นเป็นอำนาจซื้อของคุณเอง เมื่อถึงวันชำระค่าหุ้น (T+3) โบรกเกอร์ก็จะหักเงินออกไปจากส่วนที่ฝากนี้ชำระเป็นค่าหุ้นไปอัตโนมัติ ถ้าคุณต้องการซื้อหุ้น แต่วงเงินไม่พอ ก็สามารถโอนเงินเพิ่ม เพื่อให้อำนาจซื้อเพิ่มขึ้นได้ บางโบรกเกอร์ก็จะให้ดอกเบี้ยเงินฝากด้วย
ซื้อขายแบบดั้งเดิม
• ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์และตรวจสอบสถานะซื้อขายได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ • ต้องระบุราคาเสนอซื้อขายที่แน่นอน (Limit order) เท่านั้น ไม่สามารถระบุเงื่อนไขการเสนอซื้อขายได้
• ซื้อขายได้เฉพาะบนกระดานหลัก กระดานหน่วยย่อย และกระดานต่างประเทศ ด้วยวิธีจับคู่คำสั่งซื้อขายเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ (Automated Order Matching: AOM)

• ค่าธรรมเนียมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.15 - 0.20 ของมูลค่าการซื้อขาย

 
ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเปิดบัญชีอินเตอร์เน็ต
เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้นักลงทุนที่มีทุนน้อยสามารถเริ่มลงทุนซื้อขายหุ้นทางอินเทอร์เน็ตได้ตามกำลังซื้อของตน โบรกเกอร์มักแนะนำให้ลูกค้าเปิดบัญชีฝากเงินแบบที่เรียกว่า Pre-paid คือบัญชีที่คุณจะต้องโอนเงินเข้ามาในบัญชีซื้อขายก่อน แล้วจึงสามารถซื้อขายได้ภายในวงเงินที่โอนเข้ามานั้น หากต้องการซื้อหุ้นเพิ่ม ก็เพียงแค่โอนเงินเข้ามาเพิ่ม อำนาจการซื้อของคุณก็จะเพิ่มขึ้น สะดวกสำหรับนักลงทุนเพราะไม่ต้องฝากเงินไว้กับโบรกเกอร์นานๆ โดยที่ยังไม่ได้ทำการซื้อขาย

 
ขั้นตอนในการเปิดบัญชีอินเทอร์เน็ต
ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หากคุณสนใจสินค้าและบริการของ บริษัทเซ็ทเทรด ดอท คอม (จำกัด) โดยเฉพาะด้านระบบคอมพิวเตอร ์ที่ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต คุณสามารถเปิดบัญชีได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนที่โบรกเกอร์กำหนด (เซ็ทเทรด ให้บริการเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์ หากคุณสนใจเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทางอินเทอร์เน็ต จะต้องทำการติดต่อกับโบรกเกอร์เท่านั้น) นอกจากนั้น คุณสามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่การตลาดของโบรกเกอร์ เกี่ยวกับการเปิดบัญชีได้ตลอดเวลา และก่อนที่คุณจะลงนามเอกสารใด ๆ คุณควรจะอ่านรายละเอียดเงื่อนไขในเอกสารต่างๆ ของโบรกเกอร์ให้รอบคอบ (เอกสารที่ใช้สำหรับแต่ละโบรกเกอร์ อาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย) โดยทั่วไปแล้ว ก็จะมีขั้นตอนที่คุณจะต้องกระทำ ดังนี้

1) ติดต่อขอเอกสารการเปิดบัญชี สัญญาและเอกสารแนบต่าง ๆ ที่ใช้ในการเปิดบัญชี โดยคุณสามารถดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ตหรือติดต่อได้ที่สำนักงานของโบรกเกอร์ที่คุณเลือกก็ได้
2) กรอกรายละเอียดใบคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนพร้อมเซ็นชื่อ และแนบเอกสารประกอบการเปิดบัญชี ส่งให้กับโบรกเกอร์
3) รอผลการพิจารณาจากโบรกเกอร์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
4) เมื่อได้รับการอนุมัติให้เปิดบัญชีแล้ว คุณจะได้รับแจ้งเลขที่บัญชี หรือรหัสประจำตัวลูกค้าซึ่งจะใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขาย เปลี่ยนแปลง ยกเลิก รวมทั้งการชำระเงิน หรือในการติดต่อใด ๆ กับโบรกเกอร์ รหัสนี้คุณต้องเก็บเป็นความลับ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจมีผู้แอบอ้างทำให้เกิดความเสียหายได้

หลังจากที่คุณได้รับอนุมัติเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แบบออนไลน์ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ตลอดเวลาด้วยตัวเอง เพิ่มความสะดวกและคล่องตัวในการลงทุน
 
ส่งคำสั่งซื้อขายได้ในช่วงเวลาใด
เพราะการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาส่งคำสั่ง คุณจึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง แม้แต่ตอนตลาดหลักทรัพย์ปิดทำการ หรือในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
หากคุณส่งคำสั่งในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการ คำสั่งของคุณก็จะส่งตรงสู่ตลาดหลักทรัพย์ คุณสามารถตรวจสอบสถานะคำสั่งได้ทันทีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ สำหรับคำสั่งซื้อขายที่ส่งเข้ามาในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เปิดทำการ คำสั่งของคุณก็จะถูกจัดเรียงตามลำดับเวลาที่คุณส่งคำสั่งเข้ามา และจะถูกส่งไปยังตลาดหลักทรัพย์ทันทีที่ตลาดเปิดทำการ
 
มีข้อมูลอินเตอร์เน็ตอะไรช่วยการตัดสินใจ
เว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการซื้อขายหุ้นออนไลน์นั้น ไม่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการรับส่งคำสั่งซื้อขายเท่านั้น แต่ยังเพียบพร้อมด้วยข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจลงทุนของคุณ ปัจจุบันข้อมูลที่ให้บริการบนเว็บไซต์ส่วนใหญ่ประกอบด้วย
• ข้อมูลหุ้นเรียลไทม์ (Real-time trading information) ได้แก่ ราคาเสนอซื้อ-เสนอขายหลักทรัพย์ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ ปริมาณและมูลค่าการซื้อขาย ภาพรวมการซื้อขาย สรุปอันดับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายมากที่สุด ราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลง เป็นต้น ส่วนใหญ่จะสามารถเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้
• ข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน (Listed Companies Info) เช่นรายชื่อคณะกรรมการบริษัท ลักษณะหรือประเภทธุรกิจ งบการเงินประจำงวดต่างๆ รวมทั้งข่าวสารความเคลื่อนไหวอื่นๆของแต่ละบริษัท โดยสามารถเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้
• รายงานและบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ ส่วนใหญ่จะเป็นบทวิเคราะห์ที่จัดทำโดยนักวิเคราะห์ของแต่ละโบรกเกอร์ อาจแยกเป็นวิเคราะห์ข่าวประจำวัน รายงานหุ้นเด่นวันนี้ บทวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม รายหลักทรัพย์ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค

• ความเคลื่อนไหวของดัชนี และข่าวสารของตลาดหุ้นต่างประเทศที่สำคัญ
นอกจากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น โบรกเกอร์มักมีรูปแบบในการนำเสนอบริการเสริมอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลพร้อมประกอบการตัดสินใจ เช่น เครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ระบบเตือนอัตโนมัติทางโทรศัพท์มือถือ ระบบโอนเงินทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

 
รวมลิงค์เปิดบัญชีอินเตอร์เน็ต กับโบรกเกอร์
เรารวบรวมลิงค์ข้อมูลการเปิดบัญชีออนไลน์ของโบรกเกอร์ที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของบริษัทเท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีของคุณ หากคุณต้องการติดต่อสอบถามโบรกเกอร์อื่น ค้นหาข้อมูลสำหรับติดต่อบริษัทได้ที่นี่

 
เอกสารที่ต้องใช้ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
 
บุคคลธรรมดา
นั้นมาจากคำว่า Public Offering เป็นการเสนอขายหุ้นที่มีอยู่แล้วใน ตลท.เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม แต่ถ้าเป็น IPO จะเป็นการขายหุ้นใหม่ ที่ไม่เคยมีการเสนอขายมา
R  แบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
R  สัญญาแต่งตั้งตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
R  สัญญาดูแลและรักษาทรัพย์สินของลูกค้า (ถ้ามี)
R  บัตรตัวอย่างลายมือชื่อ
R  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือหนังสือเดินทาง
R  สำเนาทะเบียนบ้าน
R  สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
R  สำเนาใบแจ้งรายการบัญชีธนาคารหรือสำเนาสมุดเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
R  เอกสารแสดงเงินเดือน
R  แบบคำขอใช้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (เฉพาะกรณีเลือกซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต)
R  แบบคำขอใช้บริการจ่ายชำระระบบอัตโนมัติ/แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝาก/แบบคำขอใช้บริการโอนเงินผ่านระบบ Tele-Banking  (กรณีให้บริษัทหักค่าซื้อจากบัญชี และ/หรือนำเงินค่าขายเข้าบัญชี)

นิติบุคคล
R   แบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
R   สัญญาแต่งตั้งตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
R   สัญญาดูแลและรักษาทรัพย์สินของลูกค้า (ถ้ามี)
R   หนังสือมอบอำนาจ (เซ็นโดยกรรมการผู้มีอำนาจ) พร้อมค่าอากรแสตมป์ ฉบับละ 30 บาท
R   หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท
R   สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ วัตถุประสงค์ ทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น
R   สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
R   งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี
R   บัตรตัวอย่างลายมือชื่อของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   สำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   แบบคำขอใช้บริการจ่ายชำระระบบอัตโนมัติ /แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝาก / แบบคำขอใช้บริการโอนเงินผ่านระบบ Tele-Banking  (กรณีที่ต้องการให้บริษัทหักค่าซื้อจากบัญชี และ/หรือนำเงินค่าขายเข้าบัญชี)

กรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทน
R  หนังสือมอบอำนาจ พร้อมค่าอากรแสตมป์ ฉบับละ 30 บาท
R  บัตรตัวอย่างลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจ
R  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
R  สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ
 
เทคนิคการเล่นหุ้นผ่านอินเทอร์เนตให้ปลอดภัย
 
Credit : http://www.settrade.com

เปิดบัญชีซื้อขาย


ซื้อขายแบบดั้งเดิมคืออะไร
ก็คือการซื้อขายหุ้นโดยการส่งคำสั่งผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด หรือที่เรามักเรียกกันว่า มาร์เก็ตติ้ง (Marketing) นั่นแหละ ในสมัยก่อน เมื่อนักลงทุนต้องการส่งคำสั่งซื้อขาย ก็ต้องเดินทางไปห้องค้า กรอกใบรับคำสั่ง และยื่นให้เจ้าหน้าที่การตลาดด้วยตนเอง ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีสื่อสารดีขึ้น โบรกเกอร์ก็สามารถรับคำสั่งซื้อขายทางโทรศัพท์ได้ ส่วนการตรวจสอบสถานะของคำสั่งว่าซื้อขายได้หรือไม่ ก็ต้องผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดเช่นกัน


เปิดบัญชีซื้อขายประเภทไหนดี
ก่อนลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ คุณจะต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์หรือซับโบรกเกอร์ที่เป็นนายหน้าหรือตัวแทนของคุณในการส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามายังระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีบัญชี 2 ประเภทให้คุณเลือกตามความต้องการใช้เงินในการเล่นหุ้นของคุณ คุณควรทำความเข้าใจกับประเภทบัญชีซื้อขายทั้ง 2 ประเภทนี้ก่อน เพื่อที่จะเลือกเปิดบัญชีประเภทที่เหมาะสมกับตัวคุณได้
คำเตือนนักเล่นหุ้นมาร์จิ้น
วงเงินกู้ที่คุณใช้ลงทุนอยู่นั้นสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตลอดเวลาและอาจรวดเร็วรุนแรงตามสภาวะตลาดและของตัวหุ้นที่คุณถืออยู่ คุณควรศึกษาอย่างละเอียดถึงกฎระเบียบที่มีมากมาย โดยเฉพาะเมื่อราคาตลาดลดต่ำลงมา จะมีการเรียกหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นมาวางประกันเพิ่มตลอดจนการบังคับขายหุ้นในบัญชีลูกค้า ซึ่งความเสียหายในการลงทุนด้วยระบบนี้ค่อนข้างรุนแรง
 
1. บัญชีเงินสด (Cash Account)
เป็นบัญชีสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อหลักทรัพย์เต็มจำนวนด้วยเงินสด ซึ่งต้องชำระราคาค่าซื้อขายและส่งมอบหลักทรัพย์ภายในวันทำการที่ 3 ถัดจากวันที่ซื้อขาย (T+3) โดยคุณจะต้องซื้อขายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งมูลค่าวงเงินนี้สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามสัดส่วนมูลค่าของการซื้อขายหลักทรัพย์ในแต่ละครั้ง เมื่อคุณซื้อ มูลค่าก็จะลดลง เมื่อคุณชำระค่าซื้อแล้วหรือขายหลักทรัพย์ได้ มูลค่าก็จะเพิ่มขึ้น และในวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 เป็นต้นไป ได้มีการกำหนดให้ผู้ที่จะซื้อขายหลักทรัพย์ต้องมีหลักประกันเริ่มต้น 10 % เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า บริษัทสมาชิก และตลาดทุนโดยรวม

2. บัญชีมาร์จิ้นแบบเครดิตบาลานซ์ (Margin Account-Credit Balance)
เป็นบัญชีสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อหลักทรัพย์โดยการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ หรือต้องการยืมหลักทรัพย์เพื่อขายชอร์ต ซึ่งถ้าคุณเลือกเปิดบัญชีประเภทนี้ คุณจะต้องได้รับอนุมัติวงเงินและต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันตามอัตราที่แต่ละโบรกเกอร์กำหนดก่อน นอกจากนั้น อาจมีหลักทรัพย์เพียงบางหลักทรัพย์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายในบัญชีมาร์จิ้นได้ ส่วนใหญ่จะเป็นหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET50 หลักทรัพย์ที่ซื้อจะนำมาถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักประกันเพื่อค้ำชำระหนี้ด้วย และโบรกเกอร์บางแห่งก็อาจกำหนดว่าลูกค้าจะต้องเปิดบัญชีเงินสดระยะหนึ่งก่อนจึงจะขอเปิดบัญชีมาร์จิ้นได้ บางแห่งก็สามารถเปิดได้เลย ซึ่งคุณคงต้องเลือกโบรกเกอร์ที่เสนอเงื่อนไขที่คุณพอใจและยอมรับได้
 
การซื้อขายแบบดั้งเดิมต่างจากผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างไร
การซื้อขายทั้ง 2 ระบบมีความแตกต่างกันอยู่บ้างดังนี้


 
 
ซื้อขายแบบดั้งเดิม
• ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ให้พนักงานของโบรกเกอร์เป็นผู้ป้อนคำสั่งเข้าสู่ระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ โดยสั่งทางโทรศัพท์ หรือมาสั่งด้วยตนเองที่ห้องค้าหลักทรัพย์ของโบรกเกอร์ก็ได้
• ซื้อขายได้ทุกกระดาน และระบุเงื่อนไขการเสนอซื้อขายได้
• ค่าธรรมเนียมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.25 ของมูลค่าการซื้อขาย
ซื้อขายแบบออนไลน์
• ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์และตรวจสอบสถานะซื้อขายได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ • ต้องระบุราคาเสนอซื้อขายที่แน่นอน (Limit order) เท่านั้น ไม่สามารถระบุเงื่อนไขการเสนอซื้อขายได้
• ซื้อขายได้เฉพาะบนกระดานหลัก กระดานหน่วยย่อย และกระดานต่างประเทศ ด้วยวิธีจับคู่คำสั่งซื้อขายเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ (Automated Order Matching: AOM)
• ค่าธรรมเนียมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.21 ของมูลค่าการซื้อขาย

 
ต้องมีเงินแค่ไหนจึง จะเปิดบัญชีได้
โดยทั่วไปบริษัทสมาชิกจะขอให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัท ต้องมีหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ แต่โบรกเกอร์อาจจูงใจคุณมาเป็นลูกค้าด้วยการยกเว้นเงินค้ำประกัน หรืออาจจะเรียกร้องให้คุณวางหลักทรัพย์หรือเงินฝาก/บัญชีเงินฝากไว้ที่บริษัท หรือฝากตั๋วสัญญาใช้เงินกับบริษัทเงินทุนที่เกี่ยวข้องกันอยู่ก็ได้ ซึ่งดอกเบี้ยของคุณก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงได้ผลตอบแทนตามปกติ
การกำหนดวงเงินจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและนโยบายของแต่ละบริษัท และสภาวะตลาด วงเงินจะอยู่ในช่วง 200,000 – 500,000 บาท ซึ่งถ้าคุณซื้อขายหุ้นไประยะหนึ่งแล้วได้รับการพิจารณาว่าคุณเครดิตดี โบรกเกอร์ก็อาจให้คุณถอนออกมาได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

 
ขั้นตอนการเปิดบัญชี
ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล คุณก็สามารถเปิดบัญชีได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนที่โบรกเกอร์กำหนด ซึ่งคุณสามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่การตลาดของโบรกเกอร์ก่อนที่จะเปิดบัญชีได้ และก่อนที่คุณจะลงนามเอกสารใด ๆ คุณควรจะอ่านรายละเอียดเงื่อนไขในเอกสารต่างๆ ของโบรกเกอร์ให้รอบคอบ (เอกสารที่ใช้สำหรับแต่ละโบรกเกอร์ อาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย) โดยทั่วไปแล้วก็จะมีขั้นตอนที่คุณจะต้องกระทำ ดังนี้




1. ติดต่อขอเอกสารการเปิดบัญชี สัญญาและเอกสารแนบต่าง ๆ ที่ใช้ในการเปิดบัญชี ได้ที่สำนักงานของโบรกเกอร์ที่คุณเลือกก็ได้
2. กรอกรายละเอียดใบคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนพร้อมเซ็นชื่อ และแนบเอกสารประกอบการเปิดบัญชี ส่งให้กับโบรกเกอร์
3. รอผลการพิจารณาจากโบรกเกอร์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
4. เมื่อได้รับการอนุมัติให้เปิดบัญชีแล้ว คุณจะได้รับแจ้งเลขที่บัญชี หรือรหัสประจำตัวลูกค้าซึ่งจะใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขาย เปลี่ยนแปลง ยกเลิก
รวมทั้งการชำระเงิน หรือในการติดต่อใด ๆ กับโบรกเกอร์ รหัสนี้คุณต้องเก็บเป็นความลับ เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจมีผู้แอบอ้างทำให้เกิดความเสียหายได้
 
โบรกเกอร์พิจารณารับลูกค้าอย่างไร
โบรกเกอร์แต่ละแห่งก็จะมีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการรับลูกค้าแตกต่างกัน คุณคงจะต้องสอบถามรายละเอียดและต่อรองกับบริษัทเองด้วย แต่โดยทั่วไป ก็จะมีมาตรฐานที่คล้ายคลึงกัน คือ พิจารณาฐานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้จากความน่าเชื่อถือของคุณ พิจารณาหลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงทรัพย์สิน รายได้หรือตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกค้า และหลักฐานการค้ำประกัน เพื่อกำหนดวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาความเหมาะสมด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเป้าหมายการลงทุน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ และระดับการยอมรับความเสี่ยง รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา ภาระหนี้สิน เป็นต้น เพื่อกำหนดประเภทบัญชีและวิธีการให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย

เรารวบรวมลิงค์ข้อมูลการเปิดบัญชีแบบดั้งเดิมของโบรกเกอร์ที่มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของบริษัทเท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีของคุณ หากคุณต้องการติดต่อสอบถามโบรกเกอร์อื่น คุณหาข้อมูลสำหรับติดต่อบริษัทได้ที่นี่
 

เริ่มการลงทุนในหุ้น

ประเภทนักลงทุน
นักลงทุนมีหลายประเภท มีทั้งนักเก็งกำไร นักลงทุนระยะสั้น นักลงทุนระยะยาว ขึ้นอยู่กับว่าคุณตั้งเป้าหมายการลงทุนไว้อย่างไร และคุณยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งเสี่ยง ผลตอบแทนก็ยิ่งสูง แต่คุณก็มีโอกาสขาดทุนสูงได้ด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว ความเสี่ยงจากการลงทุนพอจะจำแนกได้เป็น ความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจของผู้ออกตราสาร ( Business Risk ) ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ( Capital Risk ) ความเสี่ยงจากการที่ไม่สามารถขายตราสารได้ทันทีในราคาที่เป็นธรรมและเหมาะสม (Liquidity Risk) ความเสี่ยงจากการที่ผู้ออกตราสารไม่ชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย (Credit Risk) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ( Interest - rate Risk ) และความเสี่ยงจากการที่ผลตอบแทนที่ได้รับต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ( Inflation Risk )





คุณควรจะถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณเป็นประเภทที่ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน แล้วก็มาดูว่าตราสารใดที่เหมาะกับระดับการยอมรับความเสี่ยงของคุณ ถ้าคุณเป็นประเภทที่พยายามเลี่ยงความเสี่ยง รับความเสี่ยงได้ต่ำ คุณก็ควรจะเน้นเรื่องการออมในสัดส่วนที่มากหน่อย และลงทุนระยะยาวในตราสารที่ความเสี่ยงต่ำ ประเภทตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน เช่น พันธบัตรของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้ กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม คุณต้องพิจารณาด้วยว่าผู้ออกตราสารหนี้นั้นเป็นใคร มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน จ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่หรือผันแปร เพราะความเสี่ยงของ ตราสารหนี้ ก็ขึ้นอยู่กับภาวะดอกเบี้ยด้วย ถ้าคุณเป็นประเภทที่เข้าใจความเสี่ยงและพอยอมรับได้ปานกลาง ก็อาจจะเลือกลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นมาอีกหน่อย โดยเน้นการลงทุนระยะยาว มีผลตอบแทนสูงพอควร ประเภทตราสารทุน เช่น กองทุนรวม ซึ่งมีมืออาชีพช่วยบริหาร ช่วยกระจายความเสี่ยง หรือลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลดี หรือในหุ้นชั้นดีที่เรียกกันว่าหุ้น Blue Chip แต่ถ้าคุณเป็นประเภทที่ต้องการลงทุนระยะสั้น หรือเก็งกำไร เน้นผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือกองทุนรวมที่ลงทุนใน ตราสารทุน ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะราคาผันผวนไปตามภาวะตลาดและผลประกอบการของบริษัท นอกจากนั้น ยังมีตราสารอีกประเภทหนึ่งที่จะช่วยในการบริหารความเสี่ยงของคุณได้ คือ ตราสารอนุพันธ์ เช่น ออปชั่นดัชนีราคาหุ้น อัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ ซึ่งเป็นการซื้ออนาคตของตราสารประเภทต่างๆ ที่นำมาอ้างอิงในราคาที่กำหนดเมื่อถึงเวลาที่ระบุไว้ ถ้าคุณยังไม่แน่ใจ ลองทำแบบทดสอบว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหนกันได้ ที่นี่

ผลตอบแทน
ผลตอบแทนจากการลงทุนขึ้นอยู่กับว่า คุณเลือกลงทุนในตราสารอะไร ถ้าคุณลงทุนในหุ้นของบริษัท สิ่งที่คุณจะได้รับเป็นอย่างแรกก็คือ การมีส่วนร่วมเป็น " เจ้าของกิจการ" โดยไม่ต้องลงเงินลงแรงเปิดบริษัทขึ้นมาเอง ถ้ากิจการดี เจริญรุ่งเรือง ผลกำไรดี คุณก็มีสิทธิได้รับ "เงินปันผล" จากกำไรที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ปีตราบที่คุณยังถือหลักทรัพย์นั้นอยู่ และยิ่งธุรกิจนั้นเจริญเติบโตและมีผลกำไรเพิ่มขึ้น เกิดคุณอยากขายหลักทรัพย์นั้นออกไป คุณก็น่าจะได้ราคาที่สูงกว่าเมื่อแรกซื้อมา คุณก็จะได้ "กำไรส่วนต่างจากราคาหลักทรัพย์" หรือที่เรียกกันว่า Capital Gains ซึ่งไม่เสียภาษี

ถ้าคุณลงทุนในตราสารหนี้จำพวกหุ้นกู้หรือพันธบัตรของรัฐบาล คุณก็จะมีสถานภาพเป็นเจ้าหนี้หรือผู้ให้กู้ของรัฐบาลหรือบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้น แล้วก็ได้อัตราดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนตลอดอายุของหุ้นกู้หรือพันธบัตรนั้น ซึ่งคุณยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเลือกนำมารวมคำนวณเสียภาษีปลายปีหรือไม่ก็ได้อีกด้วย และถ้าคุณซื้อขายหุ้นกู้หรือพันธบัตรนั้นในตลาดรอง คุณก็อาจมีกำไรจากส่วนต่างราคาหลักทรัพย์ได้เช่นเดียวกับหุ้นทั่วไป

ถ้าคุณลงทุนผ่านกองทุนรวม ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับก็คือ ดอกผลที่ผู้จัดการกองทุนนำเงินของคุณไปลงทุนแล้วก็เฉลี่ยเป็นเงินปันผลกลับคืนมาให้กับผู้ถือหน่วย ซึ่งเมื่อหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 แล้วก็ไม่ต้องนำเงินปันผลที่ได้ไปคำนวณรวมกับรายได้อื่น ๆ เพื่อเสียภาษีตอนปลายปีอีก นอกจากนั้น เมื่อคุณได้รับผลตอบแทนจากกองทุนในรูปมูลค่าเพิ่มจากการลงทุน ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีกด้วย ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนรายย่อยก็คือ มีโอกาสกระจายความเสี่ยงในการลงทุนประเภทต่าง ๆ และประหยัดเวลาแก่ผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารการลงทุน

เริ่มลงทุน
เมื่อคุณกำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณชัดเจนแล้ว ก็มาดูว่าคุณจะลงทุนในตราสารใด ในตลาดไหน ถ้าคุณจะลงทุนในตลาดรอง หรือในตลาดหลักทรัพย์ คุณก็ต้องซื้อขายผ่าน โบรกเกอร์ ซึ่งจะต้องมีการ เปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร ์เสียก่อนจึงจะสั่งซื้อขายได้ เนื่องจากโบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นนายหน้าตัวแทนในการส่งคำสั่งซื้อขายของคุณเข้ามาในระบบซื้อขายของตลาดรอง
นอกจากนั้น ประชาชนทั่วไปยังสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์นั้น ๆ ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ เพียงแต่จองผ่านผู้จัดจำหน่าย (Underwriter) ซึ่งก็คือ การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดแรก (Initial Public Offering: IPO) หรือที่เรามักเรียกกันว่าหุ้นจองนั่นเอง
คุณยังสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่บริหารโดยบริษัทจัดการกองทุน ซึ่งมีอยู่หลายประเภทได้อีกด้วย ทั้งกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น ถ้าเป็นกองทุนรวมแบบปิด คุณก็อาจจะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้อีกด้วย (ถ้าเขานำมาจดทะเบียน) แต่ละกองทุนก็มีนโยบายลงทุนแตกต่างกัน เช่น ลงทุนในตราสารทุน ลงทุนในตราสารหนี้ หรือแบบผสม เป็นต้น ดังนั้น คุณควรศึกษาหนังสือชี้ชวนของแต่ละกองทุนให้ดี ก่อนตัดสินใจซื้อหน่วยลงทุน
มีหลายปัจจัยที่คุณควรคำนึงถึงก่อนเริ่มลงทุน หลัก ๆ เลย ก็คือ อายุ เพราะในแต่ละช่วงอายุ คุณก็จะมีเป้าหมายทางการเงินและระดับการยอมรับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน อายุน้อย ก็อาจจะเสี่ยงได้มากกว่าคนอายุมาก ถ้าพลาด ก็ยังแก้ตัวใหม่ได้ ปริมาณการลงทุนจึงสูงตามไปด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในวัยเกษียณ คุณก็ควรจะใช้เงิน “ ก้อนสุดท้าย ” ของคุณอย่างระมัดระวังและเสี่ยงน้อยหน่อย สัดส่วนของเงินที่จะนำมาลงทุน ก็อาจจะน้อยลงไปด้วย คุณจึงควรวางแผนการลงทุนของคุณให้เหมาะสมกับอายุของคุณด้วย อีกปัจจัยที่ต้องพิจารณา ก็คือ อาชีพ เพราะตัวนี้เป็นตัวกำหนดเวลาที่จะให้กับการลงทุนของคุณ ถ้าคุณทำงานส่วนตัว ก็อาจจะมีเวลาเข้ามาดูแลการลงทุนของคุณมากสักหน่อย เมื่อมีเวลาเอาใจใส่อย่างเต็มที่ กลยุทธ์การลงทุนก็อาจหลากหลายกว่า อาจจะเล่นสั้น หรือ เดย์เทรดได้ แต่ถ้าคุณไม่ค่อยมีเวลา ก็อาจจะเน้นลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวไป อันนี้ก็ต้องแล้วแต่แนวคิดของคุณที่มีต่อการลงทุนด้วย นอกจากนั้นแล้ว คุณควรจะคำนึงถึง “ ทัศนคติ ” และ “ จิตใจ ” ของคุณด้วยว่า คุณเชื่อมั่นในตัวเองแค่ไหน และเป็นคนถูกกระตุ้นได้ง่ายแค่ไหน เพราะในโลกของการลงทุน คุณต้องใช้วิจารณญาณของคุณตัดสินใจเอง ทั้งในการพิจารณาข่าวลือ และคำแนะนำของเจ้าหน้าที่การตลาด ดังนั้น คุณต้องรู้จักฟัง รู้จักเชื่อ และต้องรู้จักเรียนรู้อยู่เสมอเพื่อให้ตัดสินใจลงทุนได้ถูกต้องและปลอดภัยมากขึ้น

มีเงินเท่าไร ถึงจะลงทุนได้
เดิม คุณอาจจะคิดว่า ต้องมีเงินเป็นแสนเป็นล้านบาท ถึงจะเริ่มลงทุนได้ จริง ๆ แล้ว การลงทุนไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากเลย ขึ้นอยู่กับว่าคุณอายุมากน้อยแค่ไหน วางเป้าหมายทางการเงินไว้อย่างไร รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน จะจัดสรรเงินมาลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะเลือกลงทุนวิธีไหน ในตราสารใด ถ้าคุณลงทุนในกองทุนรวม เงินเพียงไม่กี่พันบาทก็สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้แล้ว หรือถ้าคุณต้องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีแต่เงินลงทุน ( ซึ่งก็เริ่มได้ตั้งแต่หลักพันบาทเหมือนกัน) แต่ไม่มีหลักประกันใช้เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ เพราะค่อนข้างสูงเป็นหลักแสนสำหรับคนที่เลือกซื้อขายแบบดั้งเดิม คนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานมาได้ไม่นาน ก็อาจจะไม่สามารถเปิดบัญชีได้ แต่ในวันนี้ การลงทุนในหลักทรัพย์ไม่ได้ใช้เงินมากอย่างที่คิด ยังมี การซื้อขายแบบออนไลน ์ขึ้นมาให้คุณเลือกได้อีกทางหนึ่ง เพียงคุณมีเงินทุนแค่หมื่นบาทก็เริ่มซื้อขายได้แล้ว จึงช่วยให้คุณเริ่มลงทุนได้ง่ายขึ้น และยังทำให้คุณเรียนรู้การลงทุนได้จากประสบการณ์จริงไปด้วย แม้คุณจะอยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน มีเงินทุนจำนวนไม่มากนักก็ตาม

ตัดสินใจลงทุนได้อย่างไร
ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นไหนสักตัว คุณควรจะศึกษาข้อมูลของกิจการที่สนใจลงทุน โดยพิจารณาฐานะการเงิน ผู้บริหาร ผลการดำเนินงานในปัจจุบันและอนาคต พิจารณาสภาวะแวดล้อมด้านเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ การเมืองและ ภาวะอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาฐานะการเงินของบริษัทจากงบการเงินว่ามีความสามารถในการบริหารงานได้กำไรมากน้อยเพียงใด และยังต้องพิจารณาข้อมูลสถิติอื่น ๆ ที่สำคัญประกอบกัน และรู้จักวิเคราะห์ทิศทางการลงทุนจากภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม โดยดูจากการเคลื่อนไหวของดัชนีราคาหุ้นหรือ SET Index ปริมาณและมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ อยากรู้ว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่คุณจะต้องพิจารณา และจะหาข้อมูลนั้น ๆ ได้จากแหล่งใด ลองหาคำตอบได้ ที่นี่

ทดลองลงทุนก่อนได้หรือไม่
การลงทุนไม่ใช่เรื่องยาก ปัจจุบัน มีหลายหน่วยงานเปิดโอกาสให้คุณเข้ามาสัมผัสการลงทุนโดยให้คุณทดลองลงทุนแบบเสมือนจริงได้ ไม่ว่าจะเป็น Mini Click2WIN ในงานรวมพลคนออนไลน์ หรือโครงการ University Stock Competition ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จัดร่วมกับหน่วยงานอื่นเป็นประจำทุกปี หรือ การแข่งขัน Click2WIN ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะเริ่มการแข่งขันในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ ซึ่งคุณสามารถสมัครเข้าร่วมแข่งขันได้ แถมยังอาจได้รางวัลติดไม้ติดมือไปอีกด้วย นอกจากนั้น คุณยังสามารถสมัครบริการ Free Trial ซื้อขายหุ้นออนไลน์ของโบรกเกอร์ที่ให้บริการได้อีกด้วย ซึ่งจะให้คุณทดลองใช้ได้ประมาณ 15-30 วัน และยังมีบริการเสริมให้คุณติดตามราคาหุ้นหรือข้อมูลอื่นเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจอีกด้วย

วิธีชำระเงินค่าซื้อค่าขายหุ้น
เมื่อคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของคุณได้รับการจับคู่เพื่อซื้อขายเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็จะต้องมีกระบวนการ ชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย ์ ถ้าคุณสั่งซื้อหลักทรัพย์ก็จะต้องจ่ายเงินค่าซื้อหลักทรัพย์นั้น และถ้าคุณสั่งขายหลักทรัพย์ก็จะได้รับเงินค่าขายหลักทรัพย์และส่งมอบหลักทรัพย์นั้นเช่นกัน ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่ทำการซื้อหรือขาย พร้อมทั้งจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้า (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7) ให้แก่โบรกเกอร์หรือซับโบรกเกอร์ของคุณทุกครั้งที่มีรายการซื้อขายเกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันอัตราค่านายหน้าขั้นต่ำอยู่ที่ร้อยละ 0.25 สำหรับการซื้อขายแบบดั้งเดิม และร้อยละ 0.21 สำหรับการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ส่วนวิธีการชำระเงินนั้น แล้วแต่ว่าคุณตกลงกับโบรกเกอร์ไว้แบบไหน เพราะมีทั้งชำระเงินสดภายในระยะเวลาที่กำหนดจะด้วยการโอนเงิน หรือจะใช้บริการชำระเงินอัตโนมัติ Automatic Transfer Service ( ATS ) หรือนำเช็คเข้าบัญชีของโบรกเกอร์ก็ได้ หรือคุณจะวางเงินล่วงหน้า ( Pre - paid ) ไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อใช้ตัดบัญชีชำระค่าซื้อขายของคุณก็ยังได้

เป็นนักลงทุนที่ดีได้อย่างไร
นักลงทุนที่ดีต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อย่างเพียงพอ เข้าใจถึงหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุน เพราะการลงทุนอย่างมีหลักการจะช่วยลดความเสี่ยง และมีโอกาสที่จะได้รับทั้งผลตอบแทนต่าง ๆ ที่คาดหวัง และที่สำคัญ คุณต้องมีเวลาและหมั่นศึกษาติดตามข้อมูล สถานการณ์ ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ และสามารถนำมาวิเคราะห์ ( ทั้งปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค) เพื่อตัดสินใจลงทุนอย่างมีหลักการและเหมาะสมกับสถานการณ์ เราขอแนะนำให้คุณศึกษาเพิ่มเติมว่ามี ข้อมูลพื้นฐาน ใดบ้างที่คุณควรพิจารณาประกอบการตัดสินใจลงทุนของคุณ

Credit: www.settrade.com

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 3 : หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ

บทที่ 3 : หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ


บทที่ 3 : หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ


กราฟทางงด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น จะมีภาพที่ประกอบไปด้วย แท่งที่ตั้งฉากกับแนวนอนหลายแท่งซึ่งแต่ละแท่งจะมีขนาดไม่เท่ากัน โดยในแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลทางสถิติของราคาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เช่น หนึ่งวัน สองสัปดาห์ หนึ่งเดือน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานจะเลือกช่วงเวลา ซึ่งหนึ่งช่วงเวลาจะแสดงด้วยหนึ่งแท่ง ซึ่งบางครั้งเราเรียกว่า BAR CHART โดยความยาวของแต่ละแท่ง ขึ้นอยู่กับพิสัย (RANGE) หรือช่วงเวลาการซื้อขาย จากราคาสูงสุดไปหาต่ำสุด ดังนั้น แท่งจะยาวถ้าตลาดหวือหวามาก แท่งสั้นคือไม่ค่อยหวือหวา และแท่งจะไม่เกิดขึ้นถ้าวันไหนราคาเปิดกับปิดอยู่ราคาเดียวกัน รูปแบบง่ายๆ กับ Bar chart


บทที่ 3 : หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับการสร้างกราฟ
3.1 Upside Reversal(R+) คือราคาต่ำสุดวันนี้น้อยกว่าราคาต่ำสุดของเมื่อวาน แต่ราคาปิดวันนี้สูงกว่าเมื่อวาน และ Downside Reversal(R-) คือราคาสูงสุดวันนี้สูงกว่าราคาสูงสดของเมื่อวาน แต่ราคาปิดวันนี้ต่ำกว่าเมื่อวาน

3.2 Key Upside Reversal (KR+) คือราคาต่ำสุดวันนี้น้อยกว่าราคาต่ำสุดของเมื่อวาน แต่ราคาปิดวันนี้สูงกว่าเมื่อวาน รวมทั้งราคาสูงสุดวันนี้สูงกว่าราคาสูงสดของเมื่อวาน และ Key Downside Reversal (KR-) คือคือราคาสูงสุดวันนี้สูงกว่าราคาสูงสดของเมื่อวาน แต่ราคาปิดวันนี้ต่ำกว่าเมื่อวาน รวมทั้งราคาต่ำสุดวันนี้น้อยกว่าราคาต่ำสุดของเมื่อวาน

3.3 Close on High (COH) คือราคาปิดอยู่ใกล้ระดับสูงสุดของวันน้อยกว่า 10% และ Close on Low (COL) คือราคาปิดอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดของวันน้อยกว่า 10%

3.4 High to Low Close Signal (HLC) คือการที่วันแรกเกิด COH แต่วันที่สองเกิด LOH และ Low to High Close Signal (LHC) คือการที่วันแรกเกิด LOH แต่วันที่สองเกิด COH

3.5 Three Highs (3H+) คือราคาปิดวันนี้สูงกว่าสองวันที่ผ่านมา ซึ่งเป็น Bullish Signal และ Three Lows (3L-) คือราคาปิดวันนี้ต่ำกว่าสองวันที่ผ่านมา ซึ่งเป็น Bearish Signal

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 2 : ข้อเสียและความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค

บทที่ 2 : ข้อเสียและความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
 

บทที่ 2 : ข้อเสียและความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค



2.1  แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยจำกัดขอบเขตและร่นระยะเวลาในการวิเคราะห์ได้แต่การพิจารณาแต่เพียงผลสรุปสุดท้ายของเหตุการณ์ ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของการปปั่นหุ้นได้ ซึ่งสามารถแก้ไขด้วยการตั้ง STOP LOSS ไว้ล่วงหน้า และจะต้องใจแข็งพอที่จะตัดเนื้อร้ายทิ้งก่อนที่จะรุนแรงมาก เพราะในช่วงที่ตลาดหวือหวามาก การเคลื่อนที่ของราคาไม่เป็นไปตามที่เราวิเคราะห์และคาดคิดไว้ ซึ่งหมายถึงเราต้องตัดเนื้อร้ายเพิ่มมากขึ้น

2.2 การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยไม่รู้ซึงถึงแนวคิดเบื้องหลังของเทคนิคต่างๆ ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายมากพอสมควร เช่น การใช้เครื่องมือประเภทแนวโน้วในตลาดที่เคลื่อนที่แบบไม่มีแนวโน้ม ซึ่งจะทำให้เราเข้าๆออกๆ โดยแทบที่จะไม่มีกำไรเลย


2.3 การรู้ถึงวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำสุดและขายได้ในราคาสูงสุด อันที่จริงแล้วเครื่องมือทางเทคนิคเพียงแค่บอกว่าเมื่อใดควรเข้าตลาด และช่วงใดควรออกจากตลาด  หรือช่วงใดที่มีการยืนยันว่ามีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
บทที่ 2 : ข้อเสียและความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค

บทที่ 1 : ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

บทที่ 1 : ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

 
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
 

1.1 มีความยืดหยุ่นในการใช้สูง สามารถที่จะใช้กับตลาดทางการเงินต่างๆ ไม่จำกัดเฉพาะตลาดหุ้นเท่านั้น ซึ่งสามารถใช้ได้กับตลาดเงินระหว่างประเทศและทองคำ

1.2 ย่นขอบเขตและระยะเวลาในการศึกษา เพราะการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น มุ่งเน้นเข้าไปที่ผลของสาเหตุมากกว่าลงไปเจาะลึกถึงตัวสาเหตุ

1.3 การขยับตัวขึ้นลงของราคาโดยปราศจากปัจจัยพื้นฐาน สำหรับนักค้าเงินหรืนักค้าหุ้น บางครั้งไมอาจรอจนทราบสาเหตุที่แท้จริงได้ เพราะอาจเสียเปรียบในเชิงการแข่งขัน

1.4 การวิเคราะห์ทางเทคนิค ทำให้ร่นระยะเวลาในการวิเคราะห์ลง ทำให้สามารถวิเคราะห์ตลาดได้จำนวนมากได้โดยง่ายและรวดเร็ว พร้อมทั้งเห็นภาพโดยรวมอย่างกว้างๆได้ง่าย

1.5 ให้จังหวะในการเข้าและออกตลาดหุ้น สัญญาณทางเทคนิคจะเป็นตัวบอกว่าสมควรแก่เวลาหรือยัง ที่จะเข้าไปซื้อหรือขายหุ้นในตลาด หรือยังไม่จำเป็นต้องอยู่ในตลาดในช่วงนี้


ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค