ปุจฉา: ทำไมนักลงทุนจึงจำเป็นต้องใช้ธรรมะเป็นหลักนำ

ในสมัยพุทธกาลมีมหาเศรษฐีซึ่งแต่เดิมเป็นวาณิช มีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้ มหาเศรษฐีท่านนี้ชื่อ “สุทัตตะวาณิช” อาตมาเรียกท่านว่า บิลเกตส์แห่งยุคพุทธกาล เพราะใช้เงิน สร้างวัดประมาณพันล้านบาท วาณิชคนนี้ รำารวยจากการเป็น วาณิชด้วยตัวเอง แล้วก็ตั้งโรงทาน 4 มุมเมือง ให้ทานทุกวัน แจกข้าวปลาอาหาร จนคนยกย่องเป็นสุดยอดของผู้ให้และ ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี อนาถะ คือ อนาถา บิณฑ แปลว่า ก้อนข้าว มหาเศรษฐี คือ วาณิชที่รู้จักแบ่งปัน อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี แปลว่า มหาเศรษฐีที่ให้ก้อนข้าว แก่คนอนาถา จนคนลืมชื่อเดิม และเรียกสามานยนามซึ่งเป็น
ชื่อที่ได้จากการทำาคุณงามความดี อย่างคุณบุญชู โรจนเสถียร ได้ฉายาว่าเป็นซาร์เศรษฐกิจ (Czar) นี่คือตัวอย่างของคนที่เปลี่ยนตัวเองจากนักลงทุนธรรมดาเป็นมหาเศรษฐี เพราะรู้จัก เปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม ท่านอนาถบิณฑิก มหาเศรษฐีคนนี้ได้สละทรัพย์สินของตัวเองจำานวนมหาศาล สร้างวัดให้พระพุทธองค์ประทับ วัดนี้คือ วัดเชตวันมหาวิหาร เป็นวัดที่มีการวาง Landscape ที่ดีมากๆ ทุกวันนี้นักศึกษา จำานวนมากที่เรียนด้านการออกแบบ ด้านสถาปัตย์โบราณ นิยม ไปศึกษาการวางแผนผังของวัดนี้ และเป็นวัดที่พระพุทธองค์ ประทับถึง 19 พรรษา มากกว่าทุกวัดในพุทธกาล เพราะ
คฤหาสน์ของเศรษฐีอยู่ตรงข้ามวัด พระพุทธองค์สนิทสนม คุ้นเคยกับมหาเศรษฐีผู้นี้มาก เพราะเข้าวัดบ่อยครั้งเกือบทุกวัน และมีความสนิทสนมกับพระพุทธองค์เป็นอย่างดี ท่านเลื่อน ตัวเองมาเป็นมหาเศรษฐีเพราะรวยแล้วก็ให้ ได้แล้วแบ่งปัน ทั้งแก่สาธารณชนและพระศาสนาเช่นนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งประจักษ์ พยานว่า ธรรมะกับเรื่องธุรกิจไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ขัดแย้งเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น