ปุจฉา: ในสังคมไทยเราอาจถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า เรื่องเงิน นั้นสำคัญที่สุด แม้แต่การให้พรหรือการขอพร หลายคนบอกว่า ขอให้รวย ขอให้รวย ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้ามีคำแนะนำในเรื่องการให้พร “ขอให้รวย” อย่างไร
วิสัชนา: อาตมามีประสบการณ์ตรง คุณโยมเอาปัจจัยมาถวาย อาตมาก็ให้พรว่า ขอให้ใช้ชีวิตท่ามกลางนักปราชญ์ราชบัณฑิต คุณโยมก็นิ่ง อาตมาก็บอกใหม่ว่า ขอให้มี ดวงตาเห็นธรรม คุณโยมก็ยังนิ่งอีก ทีนี้ อาตมาบอกใหม่ว่าขอให้มีสุขภาพดี คุณโยมก็เริ่มหน้าชื่น แต่พอบอกว่า “ขอให้รวย” เท่านั้นแหละ คุณโยมรีบสาธุเลย อาตมาก็ลองด้วยนะ ครั้งหนึ่งมีโยมไปถวายกฐินที่วัด โยมเอาอัญชลีวันทาอภิวาทกราบหนึ่งพันล้าน สาธุ กราบสองพันล้าน กราบสามพันล้าน ติดอกติดใจกราบกันนะ อยากจะกราบอีก คือลองดูว่าปฏิกิริยาจะเป็นอย่างไร อันนี้ชัดเจนที่สุด คนจะเลือกไปหาพระหรือหลวงพ่อที่เชื่อกันว่าเป็นขุนขลังขมังเวทย์ที่จะ ทำาให้รวย นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนชัดเจนว่า ลึกๆ แล้วมนุษย์ถวิลหาเงินมาโดยตลอด ดังนั้น เวลาเราให้พรจึงแสดงออกมา อาตมาไปเวียดนาม เทพที่คนเวียดนามส่วนใหญ่บูชาจะเป็นเทพแห่งปัญญา แต่เมืองไทยเทพทุกองค์ที่บูชา มักเป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง เช่น จาตุคามรามเทพก็เป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง พระพิฆเณศ เราก็ขอความมั่งคั่ง พระพรหมเราก็ขอความมั่งคั่ง พระเกจิอาจารย์ที่เราไปหาท่านก็เป็นที่ขึ้นชื่อถึงความมั่งคั่งทั้งนั้น แนวคิดที่ว่ารำารวยมั่งคั่งคือจุดหมายสูงสุด ของชีวิต ก็กินพื้นที่ลึกเข้าไปแม้กระทั่งพื้นที่ในจิตวิญญาณด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า พื้นฐานของมนุษย์ต้องการความ มั่นคงในชีวิต และเงินเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีเงิน เราจะมีความมั่นคงในชีวิต ไม่ผิดนะ ถ้าคนอยากจะมีเงิน แต่มันจะผิดถ้าคุณมีเงินแล้วคุณคิดว่า นั่นคือเป้าหมายสูงสุด ของชีวิต เราต้องปรับนิดหนึ่งว่า มีเงินได้ แต่โปรดอย่า เข้าใจผิดว่า เงินคือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เงินนั้นสถานภาพ ที่แท้จริงคือปัจจัย คือเครื่องอำานวยความสะดวกในการดำารง ชีวิต พูดอีกอย่างหนึ่งว่าเรามีเงินเพื่อต่อจากเงินไปหาคุณภาพ ชีวิต ถ้ามีเงินแล้วต้องถามตัวเองว่า แล้วคุณมีคุณภาพชีวิตมั้ย
ถ้ามีเงินแล้วบอกว่าชีวิตฉันถึงจุดสูงสุดแล้ว ประสบความ สำาเร็จแล้ว อันนี้ถือว่าเป็นทัศนคติที่ถือว่าผิดพลาดอย่างยิ่ง เพราะศักยภาพของมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อหาเงินแต่ เพียงอย่างเดียว อาตมาภาพได้อ่านชีวประวัติของเลโอนาร์โด ดา วินชี มนุษย์แห่งยุคเรอเนสซองค์ เป็นจิตรกรเอกของโลก เป็นนักคิด นักปรัชญา นักชลประทาน นักยุทธศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักปราชญ์ มนุษย์นั้นโดยศักยภาพพื้นฐาน มีศักยภาพมากมายหลายด้าน แต่ด้วยระบบการศึกษาของ เราพยายามลดทอนศักยภาพของมนุษย์ให้เป็นนักใดนักหนึ่ง เช่น นักการเงิน นักลงทุน นักการตลาด นักการเมือง นักแสดง นักพูด นักเขียน เราลืมไปว่า แท้ที่จริงมนุษย์หนึ่งคน สามารถเป็นได้ทุกนักนั่นแหล่ะ แล้วการที่เราคิดว่า เงินคือ เป้าหมายสูงสุดของการมีชีวิตก็เป็นอีกวิธีคิดหนึ่งที่สะท้อน ว่าเราคิดแบบแยกส่วนและตัดตอน นี่แหล่ะสะท้อนวิธีคิดของ มนุษย์ในเวลานี้ว่ามีปัญหาสุดโต่ง มันแยกส่วน ไม่ได้มอง อะไรแบบองค์รวม ก็เลยคิดว่าพอมีเงิน เงินก็สูงสุด แต่พอ ไม่มีความรู้เรื่องการบริหารจัดการเงิน คือไม่รู้จักต่อเงินให้ เป็นบุญ ไม่รู้จักต่อทุนให้เป็นธรรม เงินก็เป็นต้นทางของ วิกฤติ ตั้งแต่ที่อเมริกา ยุโรป อาเจนตินา แม้กระทั่ง ไทยเรา ฉะนั้นวิธีที่เราจะอยู่ร่วมกับเงินได้คือ ต้องเข้าใจว่า เงินคือปัจจัยใช้นำาไปสู่คุณภาพชีวิต ถ้าเราคิดว่าเงินสูงสุด เรากำาลังปฏิบัติผิดต่อเงิน พระพุทธองค์เรียกอีกชื่อว่า อสรพิษ ย�ชัดๆ ว่า เงินมีสองสถานภาพ หนึ่ง เงินคือปัจจัย มีเงินแล้ว ให้รู้จักเปลี่ยนเงินเป็นคุณภาพชีวิตของตนเอง ของสังคม ของมนุษยชาติ สอง เงินจะกลายเป็นอสรพิษ ถ้าคุณไม่รู้จัก เปลี่ยนเงินเป็นคุณภาพชีวิต คิดว่าเงินเป็นสิ่งสูงสุด จนกระทั่ง ถือเอาเงินเป็นศาสดา เงินก็เป็นงูเห่าแว้งมากัดเจ้าของเงินทันที ดังนั้น ขอให้เราช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติ ทั้งนักลงทุน ทั้งเศรษฐี ทั้งประชาชนทั่วไปว่า เราต้องหันมาทำาความเข้าใจเรื่องเงิน ใหม่ว่า เงินคือปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของชีวิต เมื่อไหร่ ก็ตามเมื่อเงินถูกใช้เป็นปัจจัยโดยการเปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรมได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเมืองไทยจะมีความ รำารวยทางเศรษฐกิจ มีความมั่งคั่งมั่นคง และมีสันติสุขใน สังคมร่วมกัน แค่เราเปลี่ยนท่าทีหรือวิธีปฏิสัมพันธ์ต่อเงิน เท่านั้น ก็เป็นประตูเปิดไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจก็ได้ มั่นคงทางสังคมก็ได้ อบอุ่นในทางจิตใจก็ได้ เงินนั้นจึงเป็นทั้งต้นทางไปสู่ความสุข อาตมาเองก็แสวงหาทางสายกลางในการให้พรว่า “ขอให้คุณโยมมีชีวิตที่มีความร่มเย็นเป็นสุข ให้มีเงินมีทองรำารวยมั่งคั่งเป็นหมื่นล้านแสนล้าน แต่รวยแล้ว ก็แบ่งปันด้วยเทอญ...”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น